อ่านหนังสืออย่างไรให้จำแม่น

 โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ

   

     1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว

      2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้


      3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง

      4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป

      5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

      6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง

      7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ

      8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้

      ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง        

      ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ


เคล็ดลับ การเรียนเก่ง 

1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อน เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน  ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือ เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยาก


2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอ แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุด


3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไร อย่างเช่นจะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยก ครั้งละ 25 - 30 นาที  และพัก 5- 10 นาที


4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร


5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่



6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชา เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1  เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ  อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง  เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า
where do you go .? อะไรเป็นต้น  แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ  ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที  ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ


7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็ว ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกล แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ  ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลย จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา  อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด สำคัญคือความตั้งใจนะ ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว  ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด  สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง  ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้  โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า  ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่าบรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น  มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด  เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา  ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้ว ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท  เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอก จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลย


8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่ คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันที ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า  กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก  นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ  ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้  ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา  เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ  เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ  ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร  ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้



9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ   คือกระบวนการสอบแข่งขัน ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่  ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง  เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม
ทักษะในการทำข้อสอบ มีไหม  เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า  ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน  เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์  ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะ ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่  รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น  แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก




ที่มา : https://blog.eduzones.com/diaw30/22324?refer=home

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น